หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

อย.เตือนอย่าหลงเชื่อ "น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว" อ้างรักษาได้ทุกโรค



อย.เตือนอย่าหลงเชื่อน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว โวสรรพคุณ รักษาสารพัดโรค (กระทรวงสาธารณสุข)

          อย.เตือนผู้บริโภค อย่าตกเป็นเหยื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร "น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว" อ้างสรรพคุณรักษาโรคมะเร็ง หัวใจ รูมาตอยด์ ภูมิแพ้ อัมพฤกษ์ เบาหวาน ความดัน เป็นต้น อาจทำให้เสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง ย้ำ! ผลิตภัณฑ์อาหารไม่ใช่ยารักษาโรค หากจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควบคู่ไปกับการรักษา ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด และอย่าเชื่อโฆษณาเกินจริงที่หวังผลทางการค้ามากเกินไป


          นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจสอบเกี่ยวกับการโฆษณาน้ำมันรำข้าว โดยได้รับการร้องเรียนจากสมาคมขายตรงเกี่ยวกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันรำข้าว และจมูกข้าว โดยระบุสรรพคุณ รักษาโรคมะเร็ง หัวใจ รูมาตอยด์ ภูมิแพ้ อัมพฤกษ์ เบาหวาน ความดัน เป็นต้น มีการอ้างผลการทดสอบจากผู้รับประทาน และประสบการณ์จากผู้ป่วยที่ต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งจากการตรวจสอบไม่มีข้อเท็จจริงทางวิชาการยืนยันถึงความน่าเชื่อถือ และเอกสารที่ปรากฏน่าจะเป็นการตัดต่อข้อมูลของกลุ่มสมาชิกผู้จำหน่ายสินค้า ซึ่ง อย. ได้แจ้งเตือนไปยังผู้ทำการโฆษณาให้ระงับการโฆษณา และดำเนินการตามกฎหมายต่อไปแล้ว 

          อย่างไรก็ตาม อย.มีความห่วงใยในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะที่จริงแล้วผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานเสริม นอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักตามปกติเท่านั้น จึงขอให้ผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะมุ่งหวังรักษาโรคโดยเด็ดขาด อาจทำให้เสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง เช่น ผู้ป่วยเบาหวานอาจต้องตัดเท้า ผู้ป่วยมะเร็งมีอาการทรุดหนัก เป็นต้น 

          หากจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควบคู่ไปกับการรักษา ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด และไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่หวังผลทางการค้ามากเกินไป ทั้งนี้ โฆษณาส่วนใหญ่ เป็นการจำหน่ายในลักษณะขายตรง ซึ่งบางราย บางเครือข่ายอาจหาประโยชน์ที่ผิดกฎหมายในลักษณะแชร์ลูกโซ่ จึงขอให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรมจริยธรรม

          เลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ ก็ตาม ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อโดยอ่านข้อมูลของอาหารนั้นบนฉลากทุกครั้งว่า มีสารอาหารอะไรตามที่ร่างกายขาด หรือต้องการเสริม แต่หากผู้บริโภคพบเห็นการอวดอ้างสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่า สามารถรักษาโรคได้ หรือโฆษณาหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยการขายตรง ขอให้แจ้งเบาะแสโดยละเอียดผ่านสายด่วน อย. 1556 สำหรับในส่วนภูมิภาคแจ้งได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อทางราชการจะได้ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวดต่อไป 


อ้างอิงข้อมูลจาก 
- กระทรวงสาธารณะสุข

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

เทรนด์สุขภาพ ในปี 2013


มายด์แชร์ (Mindshare)  เอเเย่นซี่ด้านการตลาดและการสื่อสาร เผยผลสำรวจเทรนด์สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี  ในปี  2013 “Health & Wealthness 2013″  พบว่าคนไทยให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างชัดเจนแต่ใช้ชีวิตสวนทาง  เช่น ออกกำลังกายน้อยลง  ทานผักผลไม้น้อยลง  เนื่องจากวิถีคนเมืองมีมากขึ้นในประเทศ  เร่งรีบจากการทำงาน  และเวลาจึงกลายเป็นสิ่งมีค่า  มีผลให้กระแสความงามที่มาซื้อได้รวดเร็วเป็นที่นิยมมากกว่าพฤติกรรมการออกกำลังกาย   8 เทรนด์สุขภาพ และ วิธีการสื่อสารกับผู้่บริโภคแต่ละเทรนด์  มีดังนี้
1. ความอ้วนกลายเป็นปัญหาที่พบทั่วไป (OBESITY BECOMING MAINSTREAM)
ถึงแม้คนไทยจะตระหนักถึงเรื่องสุขภาพแต่ก็ยังไม่ได้ดูแลสุขภาพอย่างจริงๆ จากการศึกษาพบว่า มีเพียง 26% ในกลุ่มผู้ใหญ่ที่ออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเทียบกับ 30% ในปี พ.. 2550  อัตราการรับประทานผักและผลไม้ 51% ในปี 2551 ลดลงเหลือ 43% ในปี 2555  ในขณะที่เทรนด์ความสวยอย่างรวดเร็วโดยใช้ศัลยกรรมความงามและคลีนิคความงามเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และการใช้ชิวิตแบบคนเมืองกลายเป็นการใช้ชีวิตที่ไม่เสริมสร้างสุขภาพที่ดี ในขณะที่มีความเสี่ยงเพิ่มในการเป็นโรคเช่นความดันสูงและโรคหัวใจ โดย คาดว่าประเทศไทยจะมีผู้ที่มีปัญหาความอ้วนประมาณ 24 ล้านคนในปี พ.. 2558 (แบ่งเป็น 18.8 ล้านคนที่มีน้ำหนักเกิน และ 5.6 ล้านคนเป็นคนอ้วน) เทียบกับผู้ที่มีปัญหาความอ้วนประมาณ  22 ล้านคนในปี พ.ศ. 2553 (แบ่งเป็น 17.7ล้านที่มีน้ำหนักเกิน และ 5.6 ล้านคนที่เป็นคนอ้วน)
สำหรับนักการตลาดในการวางแผนและการสื่อสาร :  ไม่ยอมเจ็บตัวเพื่อความสวย  ความเห็นของคนรอบข้างมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเป็นส่วนใหญ่   ในแง่การสื่อสาร แบรนด์จะต้องเข้ามาเสมือนเพื่อนแนะนำเพื่อน
2. ความเครียดกลายเป็นปัญหาที่น่ากังวลกว่าความอ้วน (STRESS, THE NEW OBESITY)
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผู้บริหารมีความเครียดอยู่ในอันดับ 5 จาก 39 ประเทศอุตสาหกรรมของโลกในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา  โดยพบว่า ปัญหาความเครียดมาจาก ปัจจัย คือ 1) การเงิน 2) หน้าที่และความก้าวหน้าในการงาน 3) ความไม่แน่นอนทางการเมือง 4)ปัญหาครอบครัว 5) สิ่งแวดล้อม    ในขณะที่เด็กวัยรุ่นมีความเครียดและรู้สึกกดดันสูงขึ้น จากการวิจัยของ ส... เมื่อปลายปี 2554พบว่า วัยรุ่นกว่า 1 ล้านคนมีความรู้สึกซึมเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ โดยกว่าครึ่งล้านคนมีความเครียดสูงจนเกิดอาการปวดท้อง และอาเจียน และหนึ่งในสามของเด็กเหล่านี้ใช้ยาลดน้ำหนักและทำศัลยกรรมความงามเพื่อให้ผอมและดูสวยงาม
สำหรับนักการตลาดในการวางแผนและการสื่อสาร : ชอบตัดสินใจเองเชื่อมั่นใจความคิดตนเอง   ยอมจ่ายถ้าได้ผลดีจริง  ในแง่การสื่อสารจะต้องสื่อสารให้ข้อมูลที่ความน่าเชื่อถือหรือแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ
3. กลุ่มผู้สูงวัยจะกลายเป็นกลุ่มหลักในกระแสสุขภาพ (AGEING POPULATION)
คนไทยมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนขึ้น และกลุ่มผู้สูงวัยจะเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในอีก8 ปีข้างหน้า (สังคมผู้สูงอายุ)  และจะเป็นกลุ่มสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสุขภาพเติบโต  ธุรกิจที่จะเติบโตและมีแคมเปญการตลาดเจาะกลุ่ม Baby Boomer มาก คือธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ โดยเฉพาะโรงพยาบาล การดูแลสุขภาพ และอาหารเสริม ที่คาดว่ามูลค่าของธุรกิจนี้จะเติบโตได้ถึง 20-30%เพราะโอกาสของธุรกิจมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มนี้ ที่ตัดสินใจซื้อง่าย โดยเน้นให้ตัวเองสุขภาพดี มีลมหายใจอยู่นานที่สุด 
4. แน้มโน้มประชากรโสด อยู่คนเดียว และดูแลตัวเองได้ดีมีสูงขึ้น (INDEPENDENT SINGLES)
จากการศึกษาพบว่า 37% ของคนไทยมีสถานะโสด หย่า และหม้าย ในขณะที่ อีก 45% ไม่มีลูก โดยพบอีกว่าอัตราของคน โสด หย่าร้าง หรือแต่งงานแต่ไม่มีลูก มีจำนวนเพิ่มขึ้น ดังนั้นคนไทยจะหันมาใส่ใจกับการเป็นอยู่ในรูปแบบที่ตอบความต้องการของตัวเองมากขึ้น
 5. กระแสความงามและสุขภาพดีแบบไม่ต้องรอ (NOWISM)
พฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบคนเมืองและความสวยงามตามกระแสสังคม  ทำให้ยุคนี้เป็นยุคทองของความงามแบบสั่งซื้อได้ ไม่ต้องรอ และสวยได้ทันตา ดังนั้นธุรกิจความงาม การทำศัลยกรรมใบหน้า จะได้รับความนิยมอย่างมาก จากรายงาน Culture Vulture ของมายด์แชร์ ความงามกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวัยรุ่นตอนปลายเมื่อสัมภาษณ์งานและเชื่อว่ามีผลกับการรับเข้าทำงานในบริษัท
 สำหรับนักการตลาดในการวางแผนและการสื่อสาร : ชอบสินค้าที่แก้ไขได้อย่างทันที เห็นผลเร็ว  ซึ่งต้องใช้งานง่ายสะดวกและใหม่  โดยเซเลบคนดังจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ  ในแง่การสื่อสารจะต้องเข้าไปในฐานะพี่แนะนำน้อง
6. สูงสุดคืนสู่สามัญ (BACK TO BASIC)
จากการศึกษาพบว่าคนไทยโดยเฉพาะผู้ใหญ่และวัยทำงาน  จะหันไปให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ คาดว่าสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ที่มาจากความรู้พื้นบ้านจะมีอัตราเจริญเติบโตไปถึง 14,000 ล้านบาทในปี 2558 จาก 12,000 ล้านบาทในปี 2555   นอกจากนี้ยังจะมีกลุ่มที่มองหาวิถีชิวิตทางเลือกอื่นๆ อันเนื่องมาจากต้องการหนีจากการใช้ชีวิตที่วุ่นวาย หันมาใช้ชีวิตแบบสบายๆ  รวมถึงปัจจัยจากกลุ่มผู้สูงวัย และผลจากการเติบโตของชีวิตคนเมือง
สำหรับนักการตลาดในการวางแผนและการสื่อสาร : ชอบความสมบูรณ์แบบ  สินค้าจะต้องบริสุทธิ์ ไร้สารพิษออแกนิค เป็นธรรมชาติ   ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเชื่อก็คือ ส่วนผสมหรือองค์ประกอบได้รับการพิสูจน์จากสถาบันฯแล้ว  ในแง่การสื่อสารจะต้องมีตัวเลขหรือสถิติใช้ในการอ้างอิงพวกเขา
 7. ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพจะเข้าใกล้ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น (PRODUCT BLURRING)
ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเช่นวิตามินอาหารเสริม จะพบว่ากลายเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น  เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เติมวิตามิน เติมแร่ธาตุต่างๆ   อีกทั้งมีแนวโน้มได้รับความนิยมจากผู้บริโภคยิ่งมากขึ้น
สำหรับนักการตลาดในการวางแผนและการสื่อสาร :  ไม่ชอบกินอะไรจริงจัง กินเพื่อชดเชยเท่านั้น   ความใหม่ รสชาติใหม่ จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ  ในแง่การสื่อสารจะต้องเข้าไปเสมือน Innovator
8. เทคโนโลยีเอื้อต่อการรักษาสุขภาพที่ดีของประชากรด้วยตัวเอง (TECHNOLOGY ETC.)
พบว่า จากจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เนตที่เพิ่มมากขึ้น และเทคโนโลยีต่างๆ   ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพได้ง่าย นอกจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังได้ข้อมูลจากผู้ที่มีประสบการณ์ตรง  รวมถึงช่องทางการซื้อขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพก็ขยายตัวสู่ช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้การใช้โทรศัพท์มือถือยิ่งทำให้เปิดรับข่าวสารได้ตลอดเวลา แอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนก็มีหลากหลายที่เกี่ยวกับการดูแลและตรวจเช็คสุขภาพ  ตัวอย่างเช่น  App Doctor Me , App Samitivej


อ้างอิงข้อมูลจาก  http://www.brandbuffet.in.th/2013/01/health-welthness-trends-2013/

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

เรื่องจริงที่หมอไม่ได้บอก...(คีโม กับ มะเร็ง)

เรื่องจริงที่ หมอ ไม่ได้บอก......

(คีโม กับ มะเร็ง)

คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต ( ดีมากๆ) ช่วย Share ให้คนที่คุณรักด้วยค่ะ......

หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทาง เลือกเดียวที่จะลอง และใช้ในการกำจัดโรค มะเร็งในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็ เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก



ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์ 
1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซล มะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจ สอบตามมาตรฐานจนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่ม ขึ้นในระดับพันล้านเซล(1,000,000,000 เซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้วมันหมาย ถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้ เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึง ระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น



2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง 



3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไ ม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก 



4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็งมันกำลังบอกว่าค นๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับ โภชนาการซึ่งอาจเกิดจากยีนสิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต 



5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการ เกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภท ของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วย ให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น 



6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็น พิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูกทำลาย ระบบทางเดินอาหาร ฯลฯและเป็นสาเหตุทำ ให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลายเช่นตับ ไต หัวใจปอดฯลฯ 



8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะ ช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่าง ไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่ง ผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก 



9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโม หรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกัน อาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลาย ลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจาก การติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับ ซ้อนยิ่งขึ้น



10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็น สาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ดื้อยา และ ยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุ ทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย 



11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็งคือ การไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ใ นการขยายตัวอะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซล มะเร็ง

                A. น้ำตาลคือ อาหารของมะเร็งการตัด น้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให กับเซลมะเร็งสารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น"" นิวตร้าสวีต"" "" อีควล"" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวานซึ่งเป็นอันตรา ยสารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่า คือน้ำผึ้ง มานูคา(จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อยแต่ใน ปริมาณน้อยๆเท่านั้นเกลือสำเร็จรูป ก็ใช้สาร เคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้"" แบรก อมิโน"" หรือ เกลือทะเลแทน
                B. นม เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็ง จะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือกการใช้ นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้ เซลมะเร็งไม่ ได้รับอาหาร
                C. เซลมะเร็งเติบโต ได้ดี ในภาวะแดล้อมที่ เป็นกรด อาหารจำพวก เนื้อ จะสร้างสภาวะ กรดขึ้นดังนั้นจึงควรหันไปรับประทาน ปลา จะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทน เนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่ สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์และเชื้อปรสิต บางประเภทตกค้างอยู่ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
                D. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด80% และน้ำ ผลไม้พืช จำพวกหัวเมล็ดถั่วเปลือกแข็ง และ ผลไม้จำนวนเล็กน้อยจะช่วยทำให้ร่างกายมี สภาวะเป็นด่างอาหารอีก20% อาจได้มาจา กการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่วน้ำผักสด จะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึม ทราบสู่ระดับเซลภายใน 1 นาที เพื่อบำรุงร่า งกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้ พยายามดื่มน้ำผักสด (ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่ว ที่มีหน่อหรือต้นอ่อน)และรับประทานผักสด ดิบ2-3 ครั้งต่อวันเอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่าย ที่อุณหภูมิ140 องศาF (ประมาณ 4 องศา C)
                E. ให้หลีกเลี่ยง กาแฟ น้ำชาและช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูงชาเขียว ถือเป็นทางเลือกที่ดี และมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้ เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อ หลีกเลี่ยงท๊อกซิน และโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรดให้หลีกเลี่ยง 


12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยากและต้องการ เอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อยเนื้อ สัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาห ารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น 



13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือ การรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอ มาใช้โจมตี กำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็งและช่วยให้ เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดี ขึ้น



14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน (สารIP6 [inositol hexaphosphate หรือ phyti acid],สาร Flor-essence, สารEssiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน, เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามาร ถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้นสารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอีเป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตาย ลงของเซลหรือ กำหนดระยะเวลาการตาย ของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกาย ในการ กำจัดเซลที่ถูกทำลายซึ่งไม่เป็นที่ต้อง การ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป 



15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์ กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณการป้องกันเชิงรุก และ การคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถ อยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความ โกรธ การไม่รู้จักให้อภัยและความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมี สภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้นให้เรียนรู้ที่จะมีความ รักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัยเรียนรู้ที่ จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต



16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ใน สภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมากการออก กำลังกายทุกวันและการหายใจลึกๆจะช่วยให้ ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับ เซลการบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีก อย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง




ขอขอบคุณข้อมูลจาก : คุณ Hning Hn